วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิเคราะห์ SWOT ของสินค้า

วิเคราะห์ SWOT ของสินค้า

 S =  1. ผลไม้ของไทยในปัจจุบันมีการส่งออกมากขึ้นสู้ตลาดของจีน
        2. ประเทศไทยเป็นประเทศทางการเกษตร จึงมีพื้นที่ในการผลิตมาก
W = 1. การส่งสิ้นค้าออกสู้ต่างประเทศต้องเสียภาษีต่างๆให้กับรัฐบาล
        2. ประเทศจีนมีประชากรณ์เป็นจำนวนมาก ผลผลิตทางการเกษตรของไทยอาจมีไม่เพียงพอ
O = 1. ปัจจุบันไทยมีการขยายตัวในเรื่องการส่งออกได้มากขึ้นและก็หลายรูปแบบ
       2. ผลผลิตทางการเกษตรของไทยไม่ต่ำกวา 60%เป็นที่ต้องการของประเทศจีน
T = 1.ผลผลิตทางการเกษตรของไทยราคาอาจไม่คงที่ เพราะมาจาก ภัยธรรมชาติ และปัญหาต่างๆภายในประเทศ
      2. เนื่องจากค่าเงินของไทยมีคาน้อยกว่าประเทศจีนจึงส่งผลถึงรายได้การส่งออก

ผักผลไม้

ผักผลไม้ไทยในจีน



ผลพวงจากนโยบายการเปิดเสรีการค้าไทย-จีน ทำให้พ่อค้าไทยเกิดใหม่นับร้อยๆรายในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสินค้าด้านการเกษตร เฉพาะยอดนำเข้าผักผลไม้แค่จุดเดียวที่ด่านเชียงแสน พุ่งขึ้น 3  เท่าเป็น 2.8 พันล้านบาท โดยเฉพาะสินค้าผักและผลไม้ ที่มีอัตราภาษี 0% หลังจากมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2546
           เพราะต้นทุนการผลิตของจีนได้เปรียบในทุกด้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อกำแพงภาษีนำเข้าถูกทลายลง โดยเฉพาะผลไม้ประเภทสาลี่และแอปเปิล โดยก่อนเปิดเอฟทีเอถือเป็นผลไม้ราคาแพง ซึ่งสินค้าจีนกลุ่มผลิตผลทางการเกษตรเหล่านี้ มักจะใช้เส้นทางแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าเมืองหนาว ซึ่งจีนผลิตได้มากและราคาถูก เช่น กะหล่ำ บร็อคโคลี่ คะน้า มันฝรั่ง และกระเทียม
จากการเก็บตัวเลขของสำนักงานควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร ตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากจีนทุกด่าน 34 รายการ หลังทำเอฟทีเอช่วง 6 เดือนแรก พบว่ามูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 45 ถึง 128% หรือเพิ่มขึ้น 1,298 ล้านบาท โดยสินค้าเกษตรที่มีการนำเข้าในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผักขึ้นฉ่าย นำเข้าเพิ่มขึ้น 1.64 ล้านบาท ดอกเก๊กฮวย นำเข้าเพิ่ม 1.62 ล้านบาท พลับแห้ง นำเข้าเพิ่ม 2.74 ล้านบาท ส่วนสินค้าที่มียอดการนำเข้าสูงสุด ได้แก่ แอปเปิล เป็นสินค้าที่นำเข้าสูงสุด 894 ล้านบาท รองลงมาเป็นสาลี่ 464.2 ล้านบาท มันฝรั่ง 62.2 ล้านบาท กระเทียม 51.4 ล้านบาท แครอท 51.3 ล้านบาท องุ่น 27.2 ล้านบาท ส้ม 27.2 ล้านบาทเห็ดหอมแห้ง 27.2 ล้านบาท หอมหัวใหญ่ 25.7 ล้านบาท เห็ดหูหนูขาว 15 ล้านบาท เกาลัด 23.4 ล้านบาท แป๊ะก๊วย 22.9 ล้านบาท และผักสด 8.5 ล้านบาท
          ผลดีจากการเปิดตลาด ทำให้การนำเข้า-ส่งออกง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้นทั้งไทย และจีน เพื่อนำเข้าสินค้าเข้าไทยและส่งออกสินค้าไทยไปจีนมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ที่สนใจน้ำเข้าสินค้าจีนด้านผลิตผลการเกษตร อาจจะต้องคำนึงถึงการแข่งขันกันเอง ให้ขายได้มากและเร็วกว่าพ่อค้ารายอื่นเพื่อป้องกันสินค้าเน่าเสีย ตลอดจนปัญหาการกดราคาจากพ่อค้าส่งสินค้าเกษตร
ส่วนการนำเข้าสินค้าจีนประเภทน้ำผลไม้ น้ำผลไม้จากจีนที่ผลิตได้เป็นจำนวนมากคือน้ำแอปเปิ้ลเท่านั้น ส่วนน้ำอื่นๆประเทศไทยผลิตได้ดีกว่า เช่นเดียวกับผลไม้กระป๋องที่จีนผลิตได้จำนวนมาก คือแอปเปิ้ล พีท เป็นต้น ซึ่งคนไทยชอบรับประทานสดมากกว่า รวมถึงรสชาติของผลไม้กระป๋องอาจไม่ถูกคอคนไทย ทำให้ผลิตภัณฑ์กระป๋องสินค้าของไทยน่าจะถูกใจผู้บริโภคมากกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้คิดจะนำเข้าสินค้าจีนกลุ่มนี้ ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
           สินค้าที่นำเข้าจากจีน กลุ่มที่ได้รับความนิยมและมีช่องทางการจำหน่ายสูง มักเป็นผลไม้ที่ไม่สามารถปลูกได้ผลดีในเมืองร้อนเช่นไทย  นอกจากนี้ ผลกระทบจากการใช้ภาษี 0% เป็นเรื่องการขนส่งสินค้าในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะทางเรือ ที่ผ่านมาการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตใหญ่ทางภาคกลางและตะวันออกของจีน สู่ตลาดไทผ่าน อ.เชียงแสน ต้องใช้การขนส่ง 8 ต่อ เป็นระยะทาง 10 วัน ส่งผลต่อต้นทุน รวมทั้งยังทำให้สินค้าบอบช้ำด้วย ดังนั้นเมื่อมีภาษี 0% ผู้ประกอบการจีนจึงหันไปขนส่งทางทะเลแทน


ที่มา http://www.knowchinese.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538655802&Ntype=4

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเทศจีน

ที่ตั้ง จีนตั้งอยู่บนทวีปเอเชียตะวันออก มีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ โดยรอบ 15 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิชสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม ขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้

พื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากประเทศ รัสเซีย และแคนาดา พรมแดนทางบกของจีนมีความยาว 28,000 กิโลเมตร และมีชายฝั่งทะเลยาว 18,000 กิโลเมตร เกาะที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาเกาะน้อยใหญ่ทั้งหมด 6,536 เกาะ คือเกาะไต้หวันและไห่หนาน เมืองหลวงคือ ปักกิ่ง

เมืองหลวง กรุงปักกิ่งหรือเป่ยจิง (ภาษาราชการจีนเรียกว่า “เป่ยจิง” - Beijing ) มีประชากร ประมาณ 30 ล้านคน

ที่มา http://www.wlc2china.com/about_china.html

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความแตกต่างระหว่าง การตลาดระหว่างประเทศ กับ การค้าระหว่างประเทศ


การค้าระหว่างประเทศ (International trade) คือ

การค้าระหว่างประเทศ คือ อะไร  การค้าระหว่างประเทศ ก็คือ การส่งสินค้าของประเทศหนึ่งผ่านพรมแดนไปขายให้ประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการสินค้าของประเทศนั้น เรียกการค้าในส่วนนี้ว่า "การส่งออก(Export : X)" อีกด้านของการค้าระหว่างประเทศ ก็คือ การซื้อสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ผ่านเขตแดนเข้าในประเทศ เรียกการค้าในส่วนนี้ว่า "การนำเข้า(Import : X)" และเรียกผลต่างระหว่างการส่งออกและการนำเข้านี้ว่า "การส่งออกสุทธิ(Net Export : X-M)" อ๋อ ตรงนี้เข้าใจให้ชัดเจนนิดนึงนะครับ ไอ้ที่บอกว่า ผลต่างระหว่างการส่งออกและการนำเข้า เขาหมายถึง ผลต่างระหว่างมูลค่าการส่งออกกับมูลค่าการนำเข้านะครับ



แล้วก็ไอ้ผลต่างของสองตัวที่ว่านั่นแหละครับ ที่จะเป็นตัวแสดงถึง ดุลการค้า(balance of trade) โดยถ้ามูลค่าการส่งออกมากกว่ามูลค่าการนำเข้า เรียกว่า เกินดุลการค้า ถ้ามูลค่าการส่งออกน้อยกว่ามูลค่าการนำเข้า เรียกว่า ขาดดุลการค้า และถ้ามูลค่าการส่งออกเท่ากับมูลค่าการนำเข้า ก็เรียกว่า ดุลการค้าสมดุล คือ ไม่เกินดุล และก็ไม่ขาดดุลด้วยครับ แต่กรณีนี้ไม่มีหรอกครับ แต่ละประเทศไม่เกินดุลก็ขาดดุลอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า



อีกประเด็นคือ ทำไมต้องมีการค้าระหว่างประเทศ คำตอบมีง่าย ๆ อย่างนี้ครับ 
ประการแรก ก็เพราะว่า แต่ละประเทศนั่น มีทรัพยากร ปัจจัยการผลิตที่แตกต่างกัน ผลผลิตของแต่ละประเทศก็เลยต่างกันด้วย แต่ทีนี้คนเรานี่นะครับ มันมีความต้องการสินค้าต่าง ๆ คล้าย ๆ กัน  เช่น  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  เชื้อเพลิง เป็นต้น ทีนี้ก็คงเห็นแล้วนะครับว่า ความจำเป็นที่จะต้องมีการค้าระหว่างประเทศจึงตามมา อย่างเช่น  ไทยเราต้องซื้อน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง  หรือบางประเทศต้องซื้ออาหารทะเลจากไทย เป็นต้น สาเหตุหลักในประเด็นนี้ก็คือ การมีทรัพยากรต่างกัน ครับ
อีกประการหนึ่ง ก็คือว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นกรณีที่มีทรัพยากรไม่ต่างกันมาก แต่ความสามารถในการผลิตมันต่างกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีหรือความรู้เกี่ยวกับวิธีการผลิตที่ต่างกัน มันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศขึ้น อันนี้หมายความว่า ซื้อของเขาดีกว่าทำเองครับ เพราะสินค้าบางอย่างเราทำเอง เราจะเสียเวลาและทรัพยากรมากกว่าเขา เช่น ถ้าให้ไทยทำเครื่องบินใช้เอง เราก็ต้องเสียเวลาและทรัพยากรมากกว่าให้ประเทศที่เขามีเทคโนโลยีทางด้านนี้ทำใช่มั๊ยครับ ในทำนองกลับกัน สินค้าบางชนิดเราก็มีความชำนาญมากกว่าเขา เช่น สินค้าเกษตรบางตัว เป็นต้น ไอ้ความแตกต่างในเรื่องความสามารถในการผลิตที่ว่านี้ มันจะสะท้อนออกมาในรูปของต้นทุนการผลิต ทำให้การผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของแต่ละประเทศมีต้นทุนต่างกัน  การค้าระหว่างประเทศที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นก็คือ การให้แต่ละประเทศเลือกผลิตเฉพาะสินค้าที่ตนเองทำได้ดี ผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำ แล้วค่อยทำการค้ากัน  ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นไปตาม หลักความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ(Comparative Advantage) ของเดวิด ริคาร์โด(ค.ศ.1817) ซึ่งพัฒนามาจากแนวคิดเกี่ยวกับหลักความได้เปรียบโดยสมบูรณ์(Absolute Advantage) ของอดัม สมิธ (ค.ศ.1776)อีกที 
  • หลักความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ มีสาระสำคัญคือ "ถ้าประเทศใดสามารถผลิตสินค้าชนิดหนึ่งได้เท่ากับประเทศอื่น โดยใช้จำนวนชั่วโมงแรงงานน้อยกว่าประเทศอื่น ถือว่าประเทศนั้นมีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในการผลิตสินค้าชนิดนั้นต่อประเทศอื่น ๆ(เช่น แรงงานไทยหนึ่งคน ผลิตรองเท้าหนึ่งคู่ใช้เวลา 2 วัน แต่แรงงานจีนหนึ่งคนผลิตรองเท้าชนิดเดียวกันหนึ่งคู่ใช้เวลา 1 วัน ถือว่าจีนมีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในการผลิตรองเท้าต่อไทย เป็นต้น)" และสมิธ เสนอว่า ในทางการค้าระหว่างประเทศนั้น "ให้แต่ละประเทศผลิตสินค้าเฉพาะชนิดที่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์เพื่อการส่งออก และให้นำเข้าสินค้าชนิดที่ไม่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์มาตอบสนองความต้องการของประเทศ"
  • ส่วนหลักความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ เสนอว่า ความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเสมอไปที่จะทำให้แต่ละประเทศได้รับประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศ (เพราะบางประเทศอาจจะได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในการผลิตสินค้ามากกว่าหนึ่งชนิด และบางประเทศอาจจะไม่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในสินค้าชนิดใดเลย) โดยริคาร์โด เสนอว่า ในทางการค้าระหว่างประเทศนั้น สำหรับประเทศที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์ในการผลิตสินค้ามากกว่าหนึ่งชนิดแล้ว ให้ประเทศนั้นเลือกผลิตสินค้าชนิดที่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์มากที่สุดเพื่อการส่งออก และนำเข้าสินค้าชนิดที่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์น้อยกว่าแทน  ส่วนประเทศที่มีความเสียเปรียบโดยสมบูรณ์ในการผลิตสินค้ามากกว่าหนึ่งชนิด ให้ผลิตสินค้าชนิดที่มีความเสียเปรียบน้อยที่สุดเพื่อส่งออกและนำเข้าสินค้าชนิดที่มีความเสียเปรียบมากที่สุดแทน(เช่น แรงงานไทยหนึ่งคน ผลิตรองเท้าหนึ่งคู่ใช้เวลา 2 วัน แต่แรงงานจีนหนึ่งคนผลิตรองเท้าชนิดเดียวกันหนึ่งคู่ใช้เวลา 1 วัน และแรงงานไทยหนึ่งคนผลิตเครื่องเล่นวีซีดีหนึ่งเครื่องใช้เวลา 3 วัน และแรงงานจีนหนึ่งคนผลิตเครื่องเล่นวีซีดีแบบเดียวกันหนึ่งเครื่องใช้เวลา 1 วัน แสดงว่าจีนได้เปรียบไทยในการผลิตทั้งรองเท้าและเครื่องเล่นวีซีดี ซึ่งการค้าระหว่างประเทศตามแนวทางของริคาร์โด ก็คือ ให้จีนผลิตเครื่องเล่นวีซีดีส่งออกมาไทย เพราะเป็นสินค้าตัวที่ได้เปรียบมากกว่า และให้ไทยผลิตรองเท้าส่งออกไปขายจีนเพราะเป็นสินค้าตัวที่เสียเปรียบน้อยกว่า เป็นต้น) 
สรุปคือ การค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นได้จากการที่แต่ละประเทศมีทรัพยากรต่างกัน และการมีความสามารถในการผลิตหรือมีความได้เปรียบในการผลิตไม่เหมือนกันนั่นเอง


การตลาดระหว่างประเทศ  International Marketing คือ


            การตลาดระหว่างประเทศ (International Marketing) ได้มีผู้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับการตลาดระหว่างประเทศในหลายๆ คำจำกัดความดังต่อไปนี้
           สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (American Marketing Association : AMA) ได้ให้คำจำกัดความของการตลาดต่างประเทศ (International Marketing) ไว้ว่า การตลาดระหว่างประเทศเป็นกระบวนการวางแผน กระบวนการจัดแนวความคิด การตั้งราคา การจัดช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมทางการตลาดเพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลหรือองค์กรที่อยู่ในนานาประเทศ (Multinational)
                นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของการตลาดระหว่างประเทศว่า การตลาดระหว่างประเทศคือ ความสามารถในการผสมผสานกิจกรรมทางการตลาดกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสามารถเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในตลาดระดับโลกได้อย่างกลมกลืน มีประสิทธิภาพและสามารถสร้างความได้เปรียบทางการตลาด
                ดังนั้น การตลาดระหว่างประเทศ คือ การทำธุรกิจค้าขายอันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและนำเสนอคุณค่าที่อยู่ในรูปของสินค้าและบริการให้กับลูกค้าข้ามพรมแดนทางรัฐศาสตร์จากประเทศหนึ่งสู่ตลาดระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อการหาตลาดใหม่ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อยู่ในตลาดระหว่างประเทศ โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือ ธุรกิจต้องการรายได้ที่เป็นเงินจากลูกค้าในตลาดระหว่างประเทศ
                การตลาดระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการตลาดภายในประเทศเป็นอย่างมากดังนั้นธุรกิจจะประสบความสำเร็จในตลาดระหว่างประเทศได้นั้น การตลาดระหว่างประเทศไม่ใช่เพียงแค่การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน การตลาดระหว่างประเทศไม่ใช่แค่การดำเนินการทางการตลาดโดยใช้หลักการตลาดพื้นฐานทั่วไป ที่ธุรกิจเคยใช้มาในตลาดภายในประเทศแล้วประสบความสำเร็จ เช่น การใช่ส่วนประสมทางการตลาด (Product, Price, Place and Promotion) ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในตลาดระหว่างประเทศ บางตลาดเลยก็เป็นได้ เนื่องจากตลาดภายในประเทศกับตลาดระหว่างประเทศจะมีความแตกต่างของปัจจัยต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่นักการตลาดระหว่างประเทศต้องระลึกถึงเสมอก็คือ วิธีที่จะสร้างความสำเร็จทางการตลาดทั้งตลาดภายในประเทศรวมถึงตลาดระหว่างประเทศนั้น นักการตลาดต้องค้นหาวิธีที่จะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความพึงพอใจให้ตลาดหรือธุรกิจต้องค้นหาวิธีที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ธุรกิจจึงจะพบกับความสำเร็จทางการตลาด
      
          การตลาดระหว่างประเทศ International Marketing คือ ระยะที่ธุรกิจดำเนินการพัฒนาสู่ตลาดระหว่างประเทศ
         ระยะนี้ เป็นการพัฒนามาจาก ระยะ Export Marketing ซึ่งเมื่อทำการส่งออกไปได้ ซักระยะ ธุรกิจอาจจะมีความประสบความสำเร็จ แต่เมื่อไปได้อีกสักพัก ธุรกิจอาจจะค้นพบว่า มีอุปสรรคและ ปัญหาต่างๆ ที่ทำให้การทำธุรกิจระหว่างประเทศ ต้องสะดุด เช่น
         -ความต้องการที่แตกต่างกัน ของลุกค้าในตลาดระหว่างประเทศ แต่ละแห่ง
         -ความแตกต่างทางด้านกฎหมายและข้อบังคับในตลาดระหว่างประเทศแต่ละแห่ง
         -ความแตกต่างทางด้านอัตราค่าขนส่ง และ อัตราค่าภาษีกรมศุลกากร ของตลาดระหว่างประเทศแต่ละแห่ง
         -ความแตกต่างทางด้านกายภาค และ สภาพแวดล้อมของตลาดระหว่างประเทศแต่ละแห่ง

ความแตกต่าง
     การตลาดระหว่างประเทศ International Marketing คือ การสงเสริมการตลาด การสร้างโปรโมชั้นเพื่อเพิ่มแรงจูงใจต่อสินค้าตัวนั้น
     การค้าระหว่างประเทศ คือ การขายสิ้นค้า การเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า และการส่งสินค้า